ลักษณะความแตกต่าง
1.ขั้นตอนการผลิต
เริ่มแรกจะพูดถึงความเร็วในการผลิดก่อนแล้วกัน ถ้าดูจากประเทศที่ทำการ์ตูนคลื่อนใหวกันนั้น การผลิตการ์ตูน 2ดี ยังอยู่ในระดับที่เร็วกว่า 3ดี อยู่พอควร ไม่ว่าจะญี่ปุ่น หรืออเมริกาก็ตามการสร้างตัวละคร 2มิติ จะสร้างตัวละครโดยวาดเป็นรูปๆแล้วต้องเอามาลงสีไล่ไปทีละภาพทั้งๆที่เป็นตัวเดียวกันก็ตาม แต่ใน 3มิติ นั้นเราสร้างตัวละครและพื้นผิวของตัวละครขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แล้วก็สามารถใช้ได้ทั้งหนังทุกเฟรม. แต่ว่า 2มิติ นั้นการเปลียนแปรงตัวละครไม่ว่าหน้าตาหรือรูปร่างจะง่ายกว่า 3มิติในด้าน รูปร่างไม่คงที่ เพราะว่า แค่วาดเปลี่ยน แต่ 3มิติต้อง ปั้นตัวละครใหม่ หรืออีกวิธีที่ง่ายขึ้นคือปรับเปรี่ยนพื้นผิวของตัวละคร ในทางกลับกัน ถ้าตัวละครที่มีรายระเอียดเยอะ 3มิติจะได้เปรียบกว่ามากเพราะทำพื้นผิวเพียงครั้งเดียว.การเคลื่อนใหว ในงาน 2 ดีนั้นเวลาจะทำก็ต้องวาดแล้วเอาภาพมาเรียงต่อกันเรื่อยๆ แต่ ในงาน 3ดี เราทำตัวละครแล้วเอามาเคลื่อนที่โดยแค่จัดเฟรมแรกแล้วเฟรมสุดท้ายที่เหลือ คอมจะจัดการสร้างเอง รวมไปถึงการเคลื่อนใหวของตัวละคร. มุมมอง งาน 3ดี นั้น พอเราจัดท่าตัวละครแล้วเร้ต้องสร้างกล้องขึ้นมาเพื่อหามุมมองของภาพหรือหนัง(เหมือนถ่ายกล้องจริงๆ) แต่ใน 2ดี นั้นเอาสร้างมุมมองตอนวาดเลย (คือทำในขั้นตอนเดียวกับการวาดเคลื่อนใหวนั่นแหละ) แต่ตรงนี้ต้องใช้ประสบการ์ณในการวาดเยอะพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะวาดเพี้ยนได้. ความสมจริง อันนี้ 3มิติ กินขาด เพราะการจัดแสงมุมมอง ยังไงมือวาดก็ยังไม่เท่าเทียมได้ งาน 3มิติ ถึงนำไปใช้ในวงการภาพยนต์ค่อนข้างมากกว่างาน 2มิติ. การประมวลผล 2มิติ นั้นจะทำการประมวลผลได้เร็วกว่ามากถึงจะมีการแต่งแสงเข้ามาร่วมด้วย(ทั้งนี้คือการแต่งสีฟิลม์นั่นเอง). แต่ 3มิติ จะประมวลผลออกมาเป็นภาพๆ ซึ่ง 1 ภาพจะต้องคำนวนเรื่องแสง มุมกล้องความลึกของวัตถุ ตรงนี้ทำให้งาน 3ดี จะช้ามาก ซึ่งบางทีแค่ 1 ภาพก็ใช่เวลาประมวลผลเกินกว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว(ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง) แต่งานก็จะออกมาสวยเช่นกัน.
2.ทุนทรัพย์
โปรแกรมการใช้งานบนคอมพิวเตอร์2 มิติ นั้นจะทำจากกระดาษก่อนแล้วค่อยเอามาลงคอมไม่ว่าจะเรียงตัดต่อ หรือไม่ก็ลงสี บางทีอาจจะรวมไปถึงวาดบนคอมด้วย ซึ่งราคาของโปรแกรมต่างๆนั้นค่อนข้างถูกกว่าโปรแกรมอย่าง 3มิติ เกือบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว.3มิติ โปรแกรมจะแพงมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมหลักๆที่ทำได้ทุกอย่าง อย่าง 3ds max กับ Maya เป็นต้น แต่ว่าโปรแกรมเฉพาะก็ค่อข้างเยอะเช่นกัน อย่างสร้างฉากไม่ก็ตัวละคร ลงรายละเอียดเป็นต้น. *หมายเหตุ*ไม่ว่าจะ 2มิติ หรือ 3มิติ ก็จำเป็นต้องใช้โปรแกรม ตัดต่อหนังเช่นกัน แต่ที่กล่าวข้างต้นไม่ได้รวมโปแกรมพวกนี้เอาใว้.
เครื่องคอมพิวเตอร์อันนี้จะเห็นความแตกต่างของราคาได้ง่ายกว่ามาก งาน 2มิติไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แรง หรือสมรรถนะสูง ซึ่งตรงนี้ทำให้เครื่องคอมถูกลงอย่างพอควร(เกือบครึ่ง) แต่งานนี้จะเสีย เงินไปทางอุปกรณ์ ซะมากกว่า อย่าง ดินสอ, ยางลบ, ปากกา, โต๊ะไฟ กับ เครื่องแสกน เป็นต้น. งาน 3 มิติ ต้องเตรียมใจเรื่องค่าคอมพิวเตอร์เลยเพราะไม่ว่าจะ RAM หรือ การ์ดหน้าจอคอม ก็ราคาสูงแล้ว นอกจากนี้หาต้องบการเครื่องช่วยประมวลผลก็ยิ่งแพงเข้าไปอีกซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าคอมที่ใช้เป็นเท่าตัวได้เลยเช่นกัน. ไม่ว่าจะทำงาน 2มิติ หรือ 3มิติ นั้นก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น ทั้งวาดทั้งปั้น. เพราะงั้นใครชอซะทีเดียวเพราะต้องนำไปตัดต่อเรียบเรียงเพื่อนทำเป็นหนังต่อไปซึงจะอยู่ในขั้นตอนตัดต่อหนังทั้งหลาย
ปัญหาอนิเมชั่นในประเทศไทย
โดยอนิเมชั่นในบ้านเรานั้น ก็เริ่มต้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตัวการ์ตูนอนิเมชั่นจะพบได้ในโฆษณาทีวี เช่น หนูหล่อของยาหม่องบริบูรณ์ปาล์ม ของ อ.สรรพสิริ วิริยสิริ ซึ่งเป็นผู้สร้างอนิเมชั่นคนแรกของไทย และยังมีหมีน้อย จากนมตราหมี แม่มดกับสโนว์ไวท์ของแป้งน้ำควินน่าอีกด้วยอ.เสน่ห์ คล้ายเคลื่อน ก็มีความคิดที่จะสร้างอนิเมชั่นเรื่องแรกในไทย แต่ก็ต้องล้มไปเพราะกฎหมายควบคุมสื่อในสมัยนั้น และ10ปีต่อมา ปี พ.ศ. 2498 อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็ทำสำเร็จจนได้จากเรื่อง เหตุมหัศจรรย์ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ทุรบุรุษทุย ของ ส.อาสนจินดา หลังจากนั้นก็มีโครงการอนิเมชั่น หนุมาน การ์ตูนต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาแต่ก็ล้มเหลว เพราะเหมือนจะไปเสียดสี จอมพล สฤษดิ์ ธนรัตน์ ผู้นำในสมัยนั้นซึ่งเกิดปีวอก ปี พ.ศ. 2522 สุดสาครของ อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของบ้านเรา และก็ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในยุคนั้น ปีพ.ศ.2526 ก็มีอนิเมชั่นทางทีวีเรื่องแรกที่เป็นฝีมือคนไทยนั่นก็คือ ผีเสือแสนรัก ต่อจากนั้นก็มี เด็กชายคำแพง หนูน้อยเนรมิต เทพธิดาตะวัน จ่ากับโจ้ เนื่องจากการทำอนิเมชั่นนั้นต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ก็เลยทำให้อนิเมชั่นในเมืองไทยนั้นต้องปิดตัวลง
ประมาณปี2542 อนิเมชั่นของคนไทยที่ทำท่าว่าจะตายไปแล้ว ก็กลับมาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จากความพยายามของบ.บรอสคาสต์ไทย เทเลวิชั่น ก็ได้นำการ์ตูนที่ดัดแปลงจากวรรณคดีฝีมือคนไทย ทั้ง ปลาบู่ทอง สังข์ทอง เงาะป่า และโลกนิทาน และได้รับการตอบรับอย่างดี จนในปีพ.ศ. 2545 น่าจะเรียกว่าเป็นปีทองของอนิเมชั่น3มิติของคนไทยเลย โดยเฉพาะ ปังปอนด์ ดิ อนิเมชั่น และ สุดสาคร ซึ่งทั้ง2เรื่องก็สร้างปรากฏการณ์ในแง่ของการขายคาแร็คเตอร์ใช้ประกอบสินค้า และ เพลงประกอบ จ้ามะจ๊ะ ทิงจา ก็ฮิตติดหูด้วย รวมไปถึง การที่มีบริษัทรับจ้างทำอนิเมชั่นของญี่ปุ่นและอเมริกาหลายๆเรื่องอีกด้วย และเราก็กำลังจะมี ก้านกล้วย อนิเมชั่นของบ.กันตนา ที่กำลังจะเข้าฉายไปทั่วโลก ซึ่งเราก็หวังว่า อนิเมชั่นฝีมือคนไทย คงที่จะมีหลายเรื่อง หลากหลายแนวมากขึ้น ไม่แพ้อนิเมชั่นของฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตกเลยทีเดียว
เว็บฆวญๆ
ตอบลบ