วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
T * H * A * N * A * P * A: Multimedia Design Brief
T * H * A * N * A * P * A: Multimedia Design Brief: "ชื่อโครงการ : ' Dog Society ' ข้อมูลและลักษณะโครงการ : ..........สุนัขถือเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทหนึ่งที่มีผู้นิยมเลี้ยงเป็นจำนวนมาก เพราะมีบุ..."
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
F e 3 l i n 9: การสร้างFrame by Frame
F e 3 l i n 9: การสร้างFrame by Frame: "ภาพเคลื่อนไหว แบบ Frame by frame ในบทนี้จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับการสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ Frame by Frame ซึ่งแบบนี้จะเป็นการนำภาพหลาย ๆ ภาพที่..."
BENZ-2D: Shape Tween
BENZ-2D: Shape Tween: "Shape Tween นั้น แปลตามตัวคือการทำ Animation เปลี่ยนแปลงรูปทรงของ Tweening ก็หมายความว่า โปรแกรมจะคำนวณรูปทรงหนึ่งให้เปลี่ยนเป็นอีกรูปทรงห..."
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
3.จงยกตัวอย่างภาพยนต์ อนิเมชั่นของไทยมา 1 เรื่องและอธิบายถึงแนวคิดของภาพยนต์ รูปแบบ เทคนิคของภาพยนต์ทีใช้ รวมทั้งลักษณะการสร้างผลงานพอสังเขป

การ์ตูนอนิเมชั่น เรื่องรามเกียรติ์ มินิ อนิเมชั่น มีแนวคิดหลัก ๆ คือต้องการให้เยาวชนไทยรุ่นใหม่หันมาสนใจมหากาพย์อันเลื่องชื่อของเมืองไทย รูปแบบการนำเสนอจึงเป็นแบบการ์ตูนอนิเมชั่นเพื่อดึงดูดความสนใจจากเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี
การนำเอารามเกียรติ์ กลับมาทำเป็นแอนิเมชันครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานตามแบบฉบับของการ์ตูนมหาสนุก และมีการออกแบบลักษณะของตัวละครให้น่ารัก และเข้ากับแนวสากลนิยม (Super Deform: SD) และได้ทีมพากษ์ผู้ให้เสียงภาษาไทย นำโดย “รอง เค้ามูลคดี” โดยทำให้เป็นแอนิเมชันที่ครบรสทั้งเนื้อเรื่อง เสียง ที่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ยังได้จัดทำเป็นช่วงกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ชื่อ “คำพ่อสอน ร่วมทำความดีตามรอยพ่อ” โดยนำโครงการ “คำพ่อสอน” ของมูลนิธิพระดาบส มาต่อยอดสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ใช้งบลงทุนสร้างประมาณ 15 ล้านบาท
แนวคิดหลักของเรื่อง คือ "ธรรมะย่อมชนะอธรรม" ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าพิจารณารามเกียรติ์ของไทยดีๆ จะมีคติธรรมแฝงไว้มากกว่านั้นเสมอ
<<< เรื่องย่อการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง รามเกียรติ์ >>>
ณ เขาไกลาสอันเป็นที่พำนักของ พระอิศวร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งปวง ยังมี นนทก ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีหน้าที่คอยล้างเท้าเทวดาที่มาเฝ้าพระอิศวร แต่เนื่องจากถูกเทวดาแกล้งเขกหัวตบหัวอยู่เป็นประจำ ทำให้โกรธแค้นจึงไปขอพรวิเศษจากพระอิศวรให้ตนมีนิ้วเพชรชี้ใครเป็นต้องตาย นนทกใช้นิ้วชี้เทวดาที่เคยแกล้งตนจนตายไปมากมายทำให้ พระนารายณ์ ต้องมาปราบ แต่ก่อนตายนนทกดูถูกพระนารายณ์ว่าใช้เล่ห์เพทุบายแถมยังมีฤทธิ์เดชมากมายจึงทำให้ตนพ่ายแพ้ พระนารายณ์จึงให้นนทกไปเกิดใหม่ มี 10 หน้า 20 มือ และให้มีฤทธิ์เหาะเหินได้ ส่วนพระองค์จะลงไปเกิดเป็นมนุษย์เดินดินตามไปฆ่าให้จงได้ และแล้วนนทกก็ลงไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ มี 10หน้า 20 มือ นามว่า ทศกัณฐ์ เป็นโอรสของ ท้าวลัสเตียน แห่งกรุงลงกา ก่อนที่ท้าวลัสเตียนจะสิ้นชีวิตได้แบ่งเมืองต่าง ๆ ให้ลูก ๆ ทุกตนไปปกครอง และให้ทศกัณฐ์ปกครองกรุงลงกาแทนตน ทางด้านเมืองอโยธยาซึ่งมี ท้าวทศรถ เป็นผู้ครองนครพระองค์มีพระมเหสี 3 พระองค์แต่กลับไม่มีโอรสเลยจึงได้เชิญพระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ทั้ง 5 ตนมาทำพิธีขอโอรสจากพระอิศวร พระอิศวรจึงมีบัญชาให้พระพระอินทร์ไปเชิญพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็น พระราม โอรสของ นางเกาสุริยา พระสังข์และบัลลังก์นาคมาเกิดเป็น พระลักษณ์ คทาวุธเกิดเป็น พระสัตรุต ทั้งสองเป็นโอรสของ นางสมุทรเทวี และจักรแก้วมาเกิดเป็น พระพรต โอรสของ นางไกยเกษี ส่วนพระลักษมีพระชายาของพระนารายณ์ลงมาเกิดเป็น นางสีดา พระธิดาของทศกัณฐ์ เมื่อแรกเกิดสีดาทารกน้อยร้องว่าผลาญยักษ์สามครั้งพิเภก ตรวจดูดวงชะตาก็ทำนายว่าเป็นกาลกิณีทำให้ทศกัณฐ์และวงศ์วานยักษ์ของกรุงลงกาต้องพินาศสิ้นทศกัณฐ์จึงนำพระธิดาน้อยใส่ผอบไปลอยน้ำในทะเล ท้าวชนก กษัตริย์กรุงมิถิลาขณะบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีอยู่ในป่าเก็บผอบได้จึงนำไปเลี้ยงเป็นพระธิดา ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงสีดาก็ได้อภิเภกสมรสกับเจ้าชายราม เวลาผ่านไปนานหลายปีท้าวทศรถเห็นว่าตนแก่ชรามากแล้ว จึงคิดจะให้พระรามขึ้นครองกรุงอโยธยาแต่เพราะความโลภของนางไกยเกษีที่อยากให้พระพรตปกครองกรุงอโยธยา จึงทำให้พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา ต้องออกจากเมืองไปอยู่ป่าโดยดำรงชีพเป็นนักบวช แต่หลังจากที่พระรามจากไปไม่นานท้าวทศรถก็ตรอมใจสิ้นพระชนม์ กล่าวถึง นางสวาหะ ซึ่งถูก นางกาลอัจนา สาปให้มายืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล พระอิศวรนึกเวทนาประจวบกับถึงเวลาที่จะส่งทหารเอกไปช่วยพระรามปราบเหล่าอสูรและทศกัณฐ์ จึงให้พระพายเอาอาวุธวิเศษคือตระบองตรีเพชรและจักรแก้ว ไปซัดใส่ปากนางสวาหะจนตั้งครรภ์และต่อมาก็ให้กำเนิดวานรผิวขาวเผือกเหาะมาจากปากนางก็คือ หนุมาน นั่นเอง วันหนึ่งหนุมานได้เข้าไปเด็ดผลไม้กินในสวนต้องห้ามของ พระแม่อุมาเทวี ทำให้พระแม่อุมาเทวีโกรธมากและลงโทษให้พลังหายไปครึ่งหนึ่งหากวันใดเจอพระรามลูบหัวลูบหลังพลังก็จะกลับคืนมาเช่นเดิม
ณ เขาไกลาสอันเป็นที่พำนักของ พระอิศวร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งปวง ยังมี นนทก ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีหน้าที่คอยล้างเท้าเทวดาที่มาเฝ้าพระอิศวร แต่เนื่องจากถูกเทวดาแกล้งเขกหัวตบหัวอยู่เป็นประจำ ทำให้โกรธแค้นจึงไปขอพรวิเศษจากพระอิศวรให้ตนมีนิ้วเพชรชี้ใครเป็นต้องตาย นนทกใช้นิ้วชี้เทวดาที่เคยแกล้งตนจนตายไปมากมายทำให้ พระนารายณ์ ต้องมาปราบ แต่ก่อนตายนนทกดูถูกพระนารายณ์ว่าใช้เล่ห์เพทุบายแถมยังมีฤทธิ์เดชมากมายจึงทำให้ตนพ่ายแพ้ พระนารายณ์จึงให้นนทกไปเกิดใหม่ มี 10 หน้า 20 มือ และให้มีฤทธิ์เหาะเหินได้ ส่วนพระองค์จะลงไปเกิดเป็นมนุษย์เดินดินตามไปฆ่าให้จงได้ และแล้วนนทกก็ลงไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ มี 10หน้า 20 มือ นามว่า ทศกัณฐ์ เป็นโอรสของ ท้าวลัสเตียน แห่งกรุงลงกา ก่อนที่ท้าวลัสเตียนจะสิ้นชีวิตได้แบ่งเมืองต่าง ๆ ให้ลูก ๆ ทุกตนไปปกครอง และให้ทศกัณฐ์ปกครองกรุงลงกาแทนตน ทางด้านเมืองอโยธยาซึ่งมี ท้าวทศรถ เป็นผู้ครองนครพระองค์มีพระมเหสี 3 พระองค์แต่กลับไม่มีโอรสเลยจึงได้เชิญพระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ทั้ง 5 ตนมาทำพิธีขอโอรสจากพระอิศวร พระอิศวรจึงมีบัญชาให้พระพระอินทร์ไปเชิญพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็น พระราม โอรสของ นางเกาสุริยา พระสังข์และบัลลังก์นาคมาเกิดเป็น พระลักษณ์ คทาวุธเกิดเป็น พระสัตรุต ทั้งสองเป็นโอรสของ นางสมุทรเทวี และจักรแก้วมาเกิดเป็น พระพรต โอรสของ นางไกยเกษี ส่วนพระลักษมีพระชายาของพระนารายณ์ลงมาเกิดเป็น นางสีดา พระธิดาของทศกัณฐ์ เมื่อแรกเกิดสีดาทารกน้อยร้องว่าผลาญยักษ์สามครั้งพิเภก ตรวจดูดวงชะตาก็ทำนายว่าเป็นกาลกิณีทำให้ทศกัณฐ์และวงศ์วานยักษ์ของกรุงลงกาต้องพินาศสิ้นทศกัณฐ์จึงนำพระธิดาน้อยใส่ผอบไปลอยน้ำในทะเล ท้าวชนก กษัตริย์กรุงมิถิลาขณะบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีอยู่ในป่าเก็บผอบได้จึงนำไปเลี้ยงเป็นพระธิดา ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงสีดาก็ได้อภิเภกสมรสกับเจ้าชายราม เวลาผ่านไปนานหลายปีท้าวทศรถเห็นว่าตนแก่ชรามากแล้ว จึงคิดจะให้พระรามขึ้นครองกรุงอโยธยาแต่เพราะความโลภของนางไกยเกษีที่อยากให้พระพรตปกครองกรุงอโยธยา จึงทำให้พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา ต้องออกจากเมืองไปอยู่ป่าโดยดำรงชีพเป็นนักบวช แต่หลังจากที่พระรามจากไปไม่นานท้าวทศรถก็ตรอมใจสิ้นพระชนม์ กล่าวถึง นางสวาหะ ซึ่งถูก นางกาลอัจนา สาปให้มายืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล พระอิศวรนึกเวทนาประจวบกับถึงเวลาที่จะส่งทหารเอกไปช่วยพระรามปราบเหล่าอสูรและทศกัณฐ์ จึงให้พระพายเอาอาวุธวิเศษคือตระบองตรีเพชรและจักรแก้ว ไปซัดใส่ปากนางสวาหะจนตั้งครรภ์และต่อมาก็ให้กำเนิดวานรผิวขาวเผือกเหาะมาจากปากนางก็คือ หนุมาน นั่นเอง วันหนึ่งหนุมานได้เข้าไปเด็ดผลไม้กินในสวนต้องห้ามของ พระแม่อุมาเทวี ทำให้พระแม่อุมาเทวีโกรธมากและลงโทษให้พลังหายไปครึ่งหนึ่งหากวันใดเจอพระรามลูบหัวลูบหลังพลังก็จะกลับคืนมาเช่นเดิม
ทางด้านเผ่าพันธุ์ยักษ์ นางสำมนักขา น้องของทศกัณฐ์ซึ่งกำลังเศร้าเพราะเสียสามีไปนั้นก็ได้เหาะไปเที่ยวเล่นในป่าแล้วไปพบกับพระรามเข้าก็เกิดหลงรักจนลอบเข้าไปทำร้ายนางสีดา พระลักษณ์เห็นเข้าจึงใช้มีดตัดหูตัดจมูกนางสำมนักขาจนขาดแหว่งนางสำมนักขาโกรธแค้นมากยุแหย่ให้บรรดาพี่ชายมาต่อสู้กับพระรามแต่ก็ถูกพระรามสังหารตายไป จนกระทั่งแค้นใจเป็นที่สุดจึงไปฟ้องทศกัณฐ์ผู้เป็นพี่ชาย และบรรยายหลอกล่อให้ทศกัณฐ์หลงใหลในตัวสีดา ทศกัณฐ์จึงใช้อุบายลักพาตัวนางสีดาไป และแล้วหนุมานก็ได้มาเจอกับพระรามจึงน้อมเกล้าถวายตัวรับใช้ และรวบรวมกองทหารวานรของนครขีดขินกับเมืองชมพูเพื่อสู้กับกองทัพยักษ์ของทศกัณฐ์เพื่อแย่งชิงตัวนางสีดากลับคืนมา จากนั้นกองทัพของพระรามก็ได้ต่อสู้กับกองทัพของทศกัณฐ์มาเป็นเวลานานจนพระรามได้ทราบจากพิเภกว่าทศกัณฐ์ถอดดวงใจไว้กับฤาษีโคบุตรจึงใช้ให้หนุมานและ องคต ไปหลอกล่อเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มา ในที่สุดทศกัณฐ์ก็ถึงแก่ความตายด้วยศรพรหมาสตร์ของพระราม และถูกหนุมานขยี้กล่องดวงใจ พระรามได้ให้หนุมานปกครองเมืองนพบุรีซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ส่วนพระรามก็ได้กลับมาปกครองกรุงอโยธยาอย่างสงบสุข โดยมีพระนางสีดาเป็นพระมเหสีอยู่เคียงข้าง และมีพระลักษณ์เป็นอุปราช จนกระทั่งสีดาตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนก็ได้มีอดูล นางยักษ์ซึ่งเป็นหลานของทศกัณฐ์ได้ใช้อุบายจนพระรามเข้าใจนางสีดาผิดว่าเป็นชู้กับทศกัณฐ์พระรามสั่งให้พระลักษณ์นำนางสีดาไปประหารในป่า แต่เกิดปาฎิหาริย์ขณะที่พระลักษณ์จะฟันไปที่คอของนางสีดา ทำให้นางสีดารอดชีวิตมาและไปอาศัยกับ ฤาษีวัชมฤค จนคลอดโอรสออกมาชื่อว่า พระมงกุฏ หลังจากนั้นฤาษีวัชมฤคได้ร่ายมนต์ปลุกเสก พระลบ ให้เป็นเพื่อนกับพระมงกุฏ 10 ปี ผ่านไปพระมงกุฏและพระลบได้แผลงศรวิเศษจนดังไปถึงเมืองอโยธยาพระรามจึงให้หมุมานพร้อมกับม้าอุปการไปหาต้นตอของเสียง หนุมานพ่ายท่าเสียทีสองกุมารโดนจับมัดด้วยเถาวัลย์แล้วส่งกลับอโยธยา พระรามได้ปลดปล่อยหนุมานจากเถาวัลย์ที่พันตัวแล้วสั่งให้พระพรตกับพระสัตรุตจับพระกุมารทั้งสองมาให้จงได้พระมงกุฎเสียทีพระพรตถูกจับไปที่อโยธยาแต่พระลบหลบหนีไปได้ หลังจากนั้นไม่นานพระลบก็เดินทางสู่อโยธยาเพื่อมาช่วยพระมงกุฎ
<<< ตัวละครจากเรื่อง รามเกียรติ์ >>>





ลักษณะการสร้าง
1. IDEA - ความคิด แนวคิดขั้นตอนแรกในการทำเลยคือ คิด คิดว่าจะทำเรื่องอะไร ทำยังไง จบยังไง น่าสนใจยังไง ขนาดที่จะทำ ขั้นตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจเทคนิกในการสร้าง เพียงแค่ระดมความคิดต่างๆเอามารวมกัน แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนทุกอย่าง เขียนแค่ตัว หลักๆ ใว้
2. STORY - เนื้อเรื่องหลังจากได้แนวความคิดตอนนี้ก็มาเขียนเนื้อเรื่อง โดยเอาแนวคิดหลักๆมาขยายความ ในการเขียนเนื้อเรื่องตอนนี้ก็เหมือนกับเขียนนิยาย คือไม่ใช่มีแต่เนื้อเรื่อง ต้องมีบทพูดด้วยเช่นกัน ไล่เป็นฉากๆ บทๆ ไป
3. STORY BOARD - สตอรี่บอร์ดนำเนื้อเรื่องที่ทำการเรียบเรียง มาให้ทีมงานอ่านกัน เพื่อเอาไปเขียนสตอรี่บอร์ด, คนที่เขียนสตอรี่บอร์ดไม่จำเป็นต้องมีแค่คนเดียว แบ่งงานเป็น ฉากๆไป. ขั้นตอนนี้นั้น คือการนำเอาเนื้อเรื่องมาวาดเป็นภาพ มาเรียงต่อกันเป็นฉากๆ แล้วเอามาแปะใว้บนที่บอร์ด(ถึงเรียกว่า สตอรี่บอร์ด). แล้วเอามาเขียนมาแก้กันเพิ่มมุมมองฉากใหน แก้มุมใหน ขั้นตอนนี้จะสำคัญเพราะมีผลสืบเนื่องถึงขั้นตอน วาด อนิเมชั่น ถ้าทำไม่ดี จะเป็นปัญหาอย่างมาก
4. AUDIO and SOUND - เสียงเมื่อเอาสตอรี่บอร์ดมาเรียงกันเป็นหนังอย่างหยาบๆ (หรือที่คนเรียกกันอย่างหรูว่า อนิเม-ทริก ความละเอียดตรงนี้ขึ้นอยู่กับตอนวาดสตอรี่บอร์ดว่าละเอียดขนาดใหน)แล้วเอามาอัดเสียง ไม่ว่าจะเสียงพาค์ย เสียงเอฟเฟค เสียงฉากหลัง ทำให้หมด. มันจะเป็นการง่ายมาก หากเราทำเสียงแล้ว มาวาดให้ตรงกับเสียง มากกว่า ทำเสียงให้ตรงกับภาพ
5. ANIMATE - วาดรูปเคลื่อนใหวเมื่อได้เสียงเราก็นำเสียงมาดูความยาว ตามช่วงเวลา เพื่อนำมาวาดขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความ อดทน กับ ความมุ่งมั่น ในการทำเพราะเรื่องที่มีความยาว ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องวาด 3000 รูปโดยประมาณ ทั้งนี้ในการวาดในขั้นนี้ ต้องอาศัยการศึกษาและเทคนิกต่างๆ ไม่ว่าจะตัดเส้น ลงสี หรือ การเคลื่อใหวของสถานที่และตัวละคร
6. EDIT - แก้ไขหลังจากวาดอนิเมชั่นแล้ว ตัวหนังยังแยกกันเป็นส่วนๆ ในขั้นตอนนี้จะนำมาต่อรวมกัน เพื่อเป็นหนังใหญ่ แล้วต้องนำมาดูกันเพื่อ พิจารณาว่า ทั้งเนื้อเรื่องดูลงตัวมั้ย ต้อง ตัดฉากใหนออก ในขั้นตอนนี้มีหนังอนิเมชั่นไม่น้อย ที่ต้องตัดออกไป 3-4 ฉาก เพื่อความลงตัว ให้เหมาะสม
7. FINAL OUTPUT - การผลิดขั้นสุดท้ายเมื่อ หนัง ทั้งเรื่อง เสร็จเป็นอันที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็สู่การนำไปแสดงหรือเผยแพร่ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้จัดทำว่าจะเอาไปทำอะไร(ที่คิดใว้ในขั้นตอนที่ 1 แนวคิด) ส่วนมากคือการนำงานไปเสนอตาม บริษัท ต่างๆเพื่อ นำไป เผยแพร่ หรือ นำไปผลิต ก็ตามแต่ นโยบายของผู้จัดทำ
2.จงวิเคราะห์และเปรียบเทียบลักษณะ ความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อย รวมทั้งปัญหาของอนิเมชั่นในประเทศไทย
ลักษณะความแตกต่าง
1.ขั้นตอนการผลิต
เริ่มแรกจะพูดถึงความเร็วในการผลิดก่อนแล้วกัน ถ้าดูจากประเทศที่ทำการ์ตูนคลื่อนใหวกันนั้น การผลิตการ์ตูน 2ดี ยังอยู่ในระดับที่เร็วกว่า 3ดี อยู่พอควร ไม่ว่าจะญี่ปุ่น หรืออเมริกาก็ตามการสร้างตัวละคร 2มิติ จะสร้างตัวละครโดยวาดเป็นรูปๆแล้วต้องเอามาลงสีไล่ไปทีละภาพทั้งๆที่เป็นตัวเดียวกันก็ตาม แต่ใน 3มิติ นั้นเราสร้างตัวละครและพื้นผิวของตัวละครขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แล้วก็สามารถใช้ได้ทั้งหนังทุกเฟรม. แต่ว่า 2มิติ นั้นการเปลียนแปรงตัวละครไม่ว่าหน้าตาหรือรูปร่างจะง่ายกว่า 3มิติในด้าน รูปร่างไม่คงที่ เพราะว่า แค่วาดเปลี่ยน แต่ 3มิติต้อง ปั้นตัวละครใหม่ หรืออีกวิธีที่ง่ายขึ้นคือปรับเปรี่ยนพื้นผิวของตัวละคร ในทางกลับกัน ถ้าตัวละครที่มีรายระเอียดเยอะ 3มิติจะได้เปรียบกว่ามากเพราะทำพื้นผิวเพียงครั้งเดียว.การเคลื่อนใหว ในงาน 2 ดีนั้นเวลาจะทำก็ต้องวาดแล้วเอาภาพมาเรียงต่อกันเรื่อยๆ แต่ ในงาน 3ดี เราทำตัวละครแล้วเอามาเคลื่อนที่โดยแค่จัดเฟรมแรกแล้วเฟรมสุดท้ายที่เหลือ คอมจะจัดการสร้างเอง รวมไปถึงการเคลื่อนใหวของตัวละคร. มุมมอง งาน 3ดี นั้น พอเราจัดท่าตัวละครแล้วเร้ต้องสร้างกล้องขึ้นมาเพื่อหามุมมองของภาพหรือหนัง(เหมือนถ่ายกล้องจริงๆ) แต่ใน 2ดี นั้นเอาสร้างมุมมองตอนวาดเลย (คือทำในขั้นตอนเดียวกับการวาดเคลื่อนใหวนั่นแหละ) แต่ตรงนี้ต้องใช้ประสบการ์ณในการวาดเยอะพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะวาดเพี้ยนได้. ความสมจริง อันนี้ 3มิติ กินขาด เพราะการจัดแสงมุมมอง ยังไงมือวาดก็ยังไม่เท่าเทียมได้ งาน 3มิติ ถึงนำไปใช้ในวงการภาพยนต์ค่อนข้างมากกว่างาน 2มิติ. การประมวลผล 2มิติ นั้นจะทำการประมวลผลได้เร็วกว่ามากถึงจะมีการแต่งแสงเข้ามาร่วมด้วย(ทั้งนี้คือการแต่งสีฟิลม์นั่นเอง). แต่ 3มิติ จะประมวลผลออกมาเป็นภาพๆ ซึ่ง 1 ภาพจะต้องคำนวนเรื่องแสง มุมกล้องความลึกของวัตถุ ตรงนี้ทำให้งาน 3ดี จะช้ามาก ซึ่งบางทีแค่ 1 ภาพก็ใช่เวลาประมวลผลเกินกว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว(ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง) แต่งานก็จะออกมาสวยเช่นกัน.
2.ทุนทรัพย์
โปรแกรมการใช้งานบนคอมพิวเตอร์2 มิติ นั้นจะทำจากกระดาษก่อนแล้วค่อยเอามาลงคอมไม่ว่าจะเรียงตัดต่อ หรือไม่ก็ลงสี บางทีอาจจะรวมไปถึงวาดบนคอมด้วย ซึ่งราคาของโปรแกรมต่างๆนั้นค่อนข้างถูกกว่าโปรแกรมอย่าง 3มิติ เกือบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว.3มิติ โปรแกรมจะแพงมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมหลักๆที่ทำได้ทุกอย่าง อย่าง 3ds max กับ Maya เป็นต้น แต่ว่าโปรแกรมเฉพาะก็ค่อข้างเยอะเช่นกัน อย่างสร้างฉากไม่ก็ตัวละคร ลงรายละเอียดเป็นต้น. *หมายเหตุ*ไม่ว่าจะ 2มิติ หรือ 3มิติ ก็จำเป็นต้องใช้โปรแกรม ตัดต่อหนังเช่นกัน แต่ที่กล่าวข้างต้นไม่ได้รวมโปแกรมพวกนี้เอาใว้.
เครื่องคอมพิวเตอร์อันนี้จะเห็นความแตกต่างของราคาได้ง่ายกว่ามาก งาน 2มิติไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แรง หรือสมรรถนะสูง ซึ่งตรงนี้ทำให้เครื่องคอมถูกลงอย่างพอควร(เกือบครึ่ง) แต่งานนี้จะเสีย เงินไปทางอุปกรณ์ ซะมากกว่า อย่าง ดินสอ, ยางลบ, ปากกา, โต๊ะไฟ กับ เครื่องแสกน เป็นต้น. งาน 3 มิติ ต้องเตรียมใจเรื่องค่าคอมพิวเตอร์เลยเพราะไม่ว่าจะ RAM หรือ การ์ดหน้าจอคอม ก็ราคาสูงแล้ว นอกจากนี้หาต้องบการเครื่องช่วยประมวลผลก็ยิ่งแพงเข้าไปอีกซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าคอมที่ใช้เป็นเท่าตัวได้เลยเช่นกัน. ไม่ว่าจะทำงาน 2มิติ หรือ 3มิติ นั้นก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น ทั้งวาดทั้งปั้น. เพราะงั้นใครชอซะทีเดียวเพราะต้องนำไปตัดต่อเรียบเรียงเพื่อนทำเป็นหนังต่อไปซึงจะอยู่ในขั้นตอนตัดต่อหนังทั้งหลาย
ปัญหาอนิเมชั่นในประเทศไทย
โดยอนิเมชั่นในบ้านเรานั้น ก็เริ่มต้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตัวการ์ตูนอนิเมชั่นจะพบได้ในโฆษณาทีวี เช่น หนูหล่อของยาหม่องบริบูรณ์ปาล์ม ของ อ.สรรพสิริ วิริยสิริ ซึ่งเป็นผู้สร้างอนิเมชั่นคนแรกของไทย และยังมีหมีน้อย จากนมตราหมี แม่มดกับสโนว์ไวท์ของแป้งน้ำควินน่าอีกด้วยอ.เสน่ห์ คล้ายเคลื่อน ก็มีความคิดที่จะสร้างอนิเมชั่นเรื่องแรกในไทย แต่ก็ต้องล้มไปเพราะกฎหมายควบคุมสื่อในสมัยนั้น และ10ปีต่อมา ปี พ.ศ. 2498 อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็ทำสำเร็จจนได้จากเรื่อง เหตุมหัศจรรย์ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ทุรบุรุษทุย ของ ส.อาสนจินดา หลังจากนั้นก็มีโครงการอนิเมชั่น หนุมาน การ์ตูนต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาแต่ก็ล้มเหลว เพราะเหมือนจะไปเสียดสี จอมพล สฤษดิ์ ธนรัตน์ ผู้นำในสมัยนั้นซึ่งเกิดปีวอก ปี พ.ศ. 2522 สุดสาครของ อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของบ้านเรา และก็ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในยุคนั้น ปีพ.ศ.2526 ก็มีอนิเมชั่นทางทีวีเรื่องแรกที่เป็นฝีมือคนไทยนั่นก็คือ ผีเสือแสนรัก ต่อจากนั้นก็มี เด็กชายคำแพง หนูน้อยเนรมิต เทพธิดาตะวัน จ่ากับโจ้ เนื่องจากการทำอนิเมชั่นนั้นต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ก็เลยทำให้อนิเมชั่นในเมืองไทยนั้นต้องปิดตัวลง
ประมาณปี2542 อนิเมชั่นของคนไทยที่ทำท่าว่าจะตายไปแล้ว ก็กลับมาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จากความพยายามของบ.บรอสคาสต์ไทย เทเลวิชั่น ก็ได้นำการ์ตูนที่ดัดแปลงจากวรรณคดีฝีมือคนไทย ทั้ง ปลาบู่ทอง สังข์ทอง เงาะป่า และโลกนิทาน และได้รับการตอบรับอย่างดี จนในปีพ.ศ. 2545 น่าจะเรียกว่าเป็นปีทองของอนิเมชั่น3มิติของคนไทยเลย โดยเฉพาะ ปังปอนด์ ดิ อนิเมชั่น และ สุดสาคร ซึ่งทั้ง2เรื่องก็สร้างปรากฏการณ์ในแง่ของการขายคาแร็คเตอร์ใช้ประกอบสินค้า และ เพลงประกอบ จ้ามะจ๊ะ ทิงจา ก็ฮิตติดหูด้วย รวมไปถึง การที่มีบริษัทรับจ้างทำอนิเมชั่นของญี่ปุ่นและอเมริกาหลายๆเรื่องอีกด้วย และเราก็กำลังจะมี ก้านกล้วย อนิเมชั่นของบ.กันตนา ที่กำลังจะเข้าฉายไปทั่วโลก ซึ่งเราก็หวังว่า อนิเมชั่นฝีมือคนไทย คงที่จะมีหลายเรื่อง หลากหลายแนวมากขึ้น ไม่แพ้อนิเมชั่นของฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตกเลยทีเดียว
1.ขั้นตอนการผลิต
เริ่มแรกจะพูดถึงความเร็วในการผลิดก่อนแล้วกัน ถ้าดูจากประเทศที่ทำการ์ตูนคลื่อนใหวกันนั้น การผลิตการ์ตูน 2ดี ยังอยู่ในระดับที่เร็วกว่า 3ดี อยู่พอควร ไม่ว่าจะญี่ปุ่น หรืออเมริกาก็ตามการสร้างตัวละคร 2มิติ จะสร้างตัวละครโดยวาดเป็นรูปๆแล้วต้องเอามาลงสีไล่ไปทีละภาพทั้งๆที่เป็นตัวเดียวกันก็ตาม แต่ใน 3มิติ นั้นเราสร้างตัวละครและพื้นผิวของตัวละครขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แล้วก็สามารถใช้ได้ทั้งหนังทุกเฟรม. แต่ว่า 2มิติ นั้นการเปลียนแปรงตัวละครไม่ว่าหน้าตาหรือรูปร่างจะง่ายกว่า 3มิติในด้าน รูปร่างไม่คงที่ เพราะว่า แค่วาดเปลี่ยน แต่ 3มิติต้อง ปั้นตัวละครใหม่ หรืออีกวิธีที่ง่ายขึ้นคือปรับเปรี่ยนพื้นผิวของตัวละคร ในทางกลับกัน ถ้าตัวละครที่มีรายระเอียดเยอะ 3มิติจะได้เปรียบกว่ามากเพราะทำพื้นผิวเพียงครั้งเดียว.การเคลื่อนใหว ในงาน 2 ดีนั้นเวลาจะทำก็ต้องวาดแล้วเอาภาพมาเรียงต่อกันเรื่อยๆ แต่ ในงาน 3ดี เราทำตัวละครแล้วเอามาเคลื่อนที่โดยแค่จัดเฟรมแรกแล้วเฟรมสุดท้ายที่เหลือ คอมจะจัดการสร้างเอง รวมไปถึงการเคลื่อนใหวของตัวละคร. มุมมอง งาน 3ดี นั้น พอเราจัดท่าตัวละครแล้วเร้ต้องสร้างกล้องขึ้นมาเพื่อหามุมมองของภาพหรือหนัง(เหมือนถ่ายกล้องจริงๆ) แต่ใน 2ดี นั้นเอาสร้างมุมมองตอนวาดเลย (คือทำในขั้นตอนเดียวกับการวาดเคลื่อนใหวนั่นแหละ) แต่ตรงนี้ต้องใช้ประสบการ์ณในการวาดเยอะพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะวาดเพี้ยนได้. ความสมจริง อันนี้ 3มิติ กินขาด เพราะการจัดแสงมุมมอง ยังไงมือวาดก็ยังไม่เท่าเทียมได้ งาน 3มิติ ถึงนำไปใช้ในวงการภาพยนต์ค่อนข้างมากกว่างาน 2มิติ. การประมวลผล 2มิติ นั้นจะทำการประมวลผลได้เร็วกว่ามากถึงจะมีการแต่งแสงเข้ามาร่วมด้วย(ทั้งนี้คือการแต่งสีฟิลม์นั่นเอง). แต่ 3มิติ จะประมวลผลออกมาเป็นภาพๆ ซึ่ง 1 ภาพจะต้องคำนวนเรื่องแสง มุมกล้องความลึกของวัตถุ ตรงนี้ทำให้งาน 3ดี จะช้ามาก ซึ่งบางทีแค่ 1 ภาพก็ใช่เวลาประมวลผลเกินกว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว(ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง) แต่งานก็จะออกมาสวยเช่นกัน.
2.ทุนทรัพย์
โปรแกรมการใช้งานบนคอมพิวเตอร์2 มิติ นั้นจะทำจากกระดาษก่อนแล้วค่อยเอามาลงคอมไม่ว่าจะเรียงตัดต่อ หรือไม่ก็ลงสี บางทีอาจจะรวมไปถึงวาดบนคอมด้วย ซึ่งราคาของโปรแกรมต่างๆนั้นค่อนข้างถูกกว่าโปรแกรมอย่าง 3มิติ เกือบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว.3มิติ โปรแกรมจะแพงมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมหลักๆที่ทำได้ทุกอย่าง อย่าง 3ds max กับ Maya เป็นต้น แต่ว่าโปรแกรมเฉพาะก็ค่อข้างเยอะเช่นกัน อย่างสร้างฉากไม่ก็ตัวละคร ลงรายละเอียดเป็นต้น. *หมายเหตุ*ไม่ว่าจะ 2มิติ หรือ 3มิติ ก็จำเป็นต้องใช้โปรแกรม ตัดต่อหนังเช่นกัน แต่ที่กล่าวข้างต้นไม่ได้รวมโปแกรมพวกนี้เอาใว้.
เครื่องคอมพิวเตอร์อันนี้จะเห็นความแตกต่างของราคาได้ง่ายกว่ามาก งาน 2มิติไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แรง หรือสมรรถนะสูง ซึ่งตรงนี้ทำให้เครื่องคอมถูกลงอย่างพอควร(เกือบครึ่ง) แต่งานนี้จะเสีย เงินไปทางอุปกรณ์ ซะมากกว่า อย่าง ดินสอ, ยางลบ, ปากกา, โต๊ะไฟ กับ เครื่องแสกน เป็นต้น. งาน 3 มิติ ต้องเตรียมใจเรื่องค่าคอมพิวเตอร์เลยเพราะไม่ว่าจะ RAM หรือ การ์ดหน้าจอคอม ก็ราคาสูงแล้ว นอกจากนี้หาต้องบการเครื่องช่วยประมวลผลก็ยิ่งแพงเข้าไปอีกซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าคอมที่ใช้เป็นเท่าตัวได้เลยเช่นกัน. ไม่ว่าจะทำงาน 2มิติ หรือ 3มิติ นั้นก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น ทั้งวาดทั้งปั้น. เพราะงั้นใครชอซะทีเดียวเพราะต้องนำไปตัดต่อเรียบเรียงเพื่อนทำเป็นหนังต่อไปซึงจะอยู่ในขั้นตอนตัดต่อหนังทั้งหลาย
ปัญหาอนิเมชั่นในประเทศไทย
โดยอนิเมชั่นในบ้านเรานั้น ก็เริ่มต้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตัวการ์ตูนอนิเมชั่นจะพบได้ในโฆษณาทีวี เช่น หนูหล่อของยาหม่องบริบูรณ์ปาล์ม ของ อ.สรรพสิริ วิริยสิริ ซึ่งเป็นผู้สร้างอนิเมชั่นคนแรกของไทย และยังมีหมีน้อย จากนมตราหมี แม่มดกับสโนว์ไวท์ของแป้งน้ำควินน่าอีกด้วยอ.เสน่ห์ คล้ายเคลื่อน ก็มีความคิดที่จะสร้างอนิเมชั่นเรื่องแรกในไทย แต่ก็ต้องล้มไปเพราะกฎหมายควบคุมสื่อในสมัยนั้น และ10ปีต่อมา ปี พ.ศ. 2498 อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็ทำสำเร็จจนได้จากเรื่อง เหตุมหัศจรรย์ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ทุรบุรุษทุย ของ ส.อาสนจินดา หลังจากนั้นก็มีโครงการอนิเมชั่น หนุมาน การ์ตูนต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาแต่ก็ล้มเหลว เพราะเหมือนจะไปเสียดสี จอมพล สฤษดิ์ ธนรัตน์ ผู้นำในสมัยนั้นซึ่งเกิดปีวอก ปี พ.ศ. 2522 สุดสาครของ อ.ปยุต เงากระจ่าง ก็เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของบ้านเรา และก็ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในยุคนั้น ปีพ.ศ.2526 ก็มีอนิเมชั่นทางทีวีเรื่องแรกที่เป็นฝีมือคนไทยนั่นก็คือ ผีเสือแสนรัก ต่อจากนั้นก็มี เด็กชายคำแพง หนูน้อยเนรมิต เทพธิดาตะวัน จ่ากับโจ้ เนื่องจากการทำอนิเมชั่นนั้นต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ก็เลยทำให้อนิเมชั่นในเมืองไทยนั้นต้องปิดตัวลง
ประมาณปี2542 อนิเมชั่นของคนไทยที่ทำท่าว่าจะตายไปแล้ว ก็กลับมาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จากความพยายามของบ.บรอสคาสต์ไทย เทเลวิชั่น ก็ได้นำการ์ตูนที่ดัดแปลงจากวรรณคดีฝีมือคนไทย ทั้ง ปลาบู่ทอง สังข์ทอง เงาะป่า และโลกนิทาน และได้รับการตอบรับอย่างดี จนในปีพ.ศ. 2545 น่าจะเรียกว่าเป็นปีทองของอนิเมชั่น3มิติของคนไทยเลย โดยเฉพาะ ปังปอนด์ ดิ อนิเมชั่น และ สุดสาคร ซึ่งทั้ง2เรื่องก็สร้างปรากฏการณ์ในแง่ของการขายคาแร็คเตอร์ใช้ประกอบสินค้า และ เพลงประกอบ จ้ามะจ๊ะ ทิงจา ก็ฮิตติดหูด้วย รวมไปถึง การที่มีบริษัทรับจ้างทำอนิเมชั่นของญี่ปุ่นและอเมริกาหลายๆเรื่องอีกด้วย และเราก็กำลังจะมี ก้านกล้วย อนิเมชั่นของบ.กันตนา ที่กำลังจะเข้าฉายไปทั่วโลก ซึ่งเราก็หวังว่า อนิเมชั่นฝีมือคนไทย คงที่จะมีหลายเรื่อง หลากหลายแนวมากขึ้น ไม่แพ้อนิเมชั่นของฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตกเลยทีเดียว
1.จงอธิบายถึงที่มา ความหมาย และประเภทของอนิเมชั่น พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
ความหมายของอนิเมชั่น
แอนิเมชั่นถือกำเนิดขึ้นมาจากหลักการเรื่องภาพติดตา โดยเมื่อเราเห็นภาพนิ่งภาพหนึ่งก็จะเกิดการจดจำและเข้าใจว่าภาพนั้นๆคืออะไรแล้วเมื่อลองนำเอาภาพนิ่งหลายๆภาพมาเล่นติดต่อกันด้วยความเร็วอย่างเช่น 25 ภาพต่อ 1 วินาที เราก็จะรู้สึกได้ว่าเรากำลังเห็นภาพเคลื่อนไหว แอนิเมชั่นก็ถือกำเนิดมาจากจุดนี้นั่นเอง โดยผู้ที่ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกันก็คือ พอล โรเจ็ต (Paul Roget) ชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1828 โดยเขาได้ทำสิ่งประดิษฐ์ง่ายๆเป็นแผ่นวงกลมแบนๆเหมือนกระดาษ ด้านหนึ่งวาดรูปนก อีกด้านวาดรูปกรงนกเปล่าๆ แล้วติดกับแกนไม้หรือเชือก เมื่อหมุนด้วยความเร็วก็จะเกิดเป็นภาพนกอยู่ในกรง และแอนิเมชั่นได้ถือกำเนิดอย่างจริงจังขึ้นเมื่อโธมัส อันวาเอดิสัน (Thomas Alva Edison) ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์และเครื่องฉายได้ หลังจากนั้นการสร้างแอนิเมชั่นก็ได้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอด โดยแบ่งตามวิธีการสร้างผลงานเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบดั้งเดิม(Traditional Animation) ซึ่งได้แก่ แอนิเมชั่น 2 มิติ ที่วาดด้วยมือ คัท-เอาท์ แอนิเมชั่น(cut-out animation) ที่เป็นการตัดกระดาษให้เป็นรูปร่างต่างๆ และ Clay Animation หรือ Stop Motion ที่สร้างจากดินน้ำมันหรือวัสดุที่ใกล้เคียงกัน และ แอนิเมชั่นอีกประเภทคือ Digital Computer Animation ที่เกิดจาการสร้างด้วยระบบดิจิตอลทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ
แอนิเมชัน (Animation) หมายถึง กระบวนการที่เฟรมแต่ละเฟรมของภาพยนตร์ ถูกผลิตขึ้นต่างหากจาก กันทีละเฟรม แล้วนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน โดยการฉายต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจากวิธีการ ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก ถ่ายภาพรูปวาด หรือ หรือรูปถ่ายแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อย ๆ ขยับเมื่อนำภาพดังกล่าวมาฉาย ด้วยความเร็ว ตั้งแต่ 16 เฟรมต่อวินาที ขึ้นไป เราจะเห็นเหมือนว่าภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องจาก การเห็นภาพติดตาในทาง คอมพิวเตอร์ การจัดเก็บภาพแบบอนิเมชันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต ได้แก่เก็บในรูปแบบ GIF MNG SVG และ แฟลช
คำว่า แอนิเมชั่น (animation) รวมทั้งคำว่า animate และ animator มากจากรากศัพท์ละติน "animare" ซึ่งมี
ความมหมายว่าทำให้มีชีวิต ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจึงหมายถึงการสร้างสรรค์ลายเส้นและรูปทรงที่ไม่มีชีวิต ให้เคลื่อนไหวเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้
ประเภทของอนิเมชั่น มี 2 ประเภทคือ


แอนิเมชั่นถือกำเนิดขึ้นมาจากหลักการเรื่องภาพติดตา โดยเมื่อเราเห็นภาพนิ่งภาพหนึ่งก็จะเกิดการจดจำและเข้าใจว่าภาพนั้นๆคืออะไรแล้วเมื่อลองนำเอาภาพนิ่งหลายๆภาพมาเล่นติดต่อกันด้วยความเร็วอย่างเช่น 25 ภาพต่อ 1 วินาที เราก็จะรู้สึกได้ว่าเรากำลังเห็นภาพเคลื่อนไหว แอนิเมชั่นก็ถือกำเนิดมาจากจุดนี้นั่นเอง โดยผู้ที่ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกันก็คือ พอล โรเจ็ต (Paul Roget) ชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1828 โดยเขาได้ทำสิ่งประดิษฐ์ง่ายๆเป็นแผ่นวงกลมแบนๆเหมือนกระดาษ ด้านหนึ่งวาดรูปนก อีกด้านวาดรูปกรงนกเปล่าๆ แล้วติดกับแกนไม้หรือเชือก เมื่อหมุนด้วยความเร็วก็จะเกิดเป็นภาพนกอยู่ในกรง และแอนิเมชั่นได้ถือกำเนิดอย่างจริงจังขึ้นเมื่อโธมัส อันวาเอดิสัน (Thomas Alva Edison) ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์และเครื่องฉายได้ หลังจากนั้นการสร้างแอนิเมชั่นก็ได้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอด โดยแบ่งตามวิธีการสร้างผลงานเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบดั้งเดิม(Traditional Animation) ซึ่งได้แก่ แอนิเมชั่น 2 มิติ ที่วาดด้วยมือ คัท-เอาท์ แอนิเมชั่น(cut-out animation) ที่เป็นการตัดกระดาษให้เป็นรูปร่างต่างๆ และ Clay Animation หรือ Stop Motion ที่สร้างจากดินน้ำมันหรือวัสดุที่ใกล้เคียงกัน และ แอนิเมชั่นอีกประเภทคือ Digital Computer Animation ที่เกิดจาการสร้างด้วยระบบดิจิตอลทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ
แอนิเมชัน (Animation) หมายถึง กระบวนการที่เฟรมแต่ละเฟรมของภาพยนตร์ ถูกผลิตขึ้นต่างหากจาก กันทีละเฟรม แล้วนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน โดยการฉายต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจากวิธีการ ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก ถ่ายภาพรูปวาด หรือ หรือรูปถ่ายแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อย ๆ ขยับเมื่อนำภาพดังกล่าวมาฉาย ด้วยความเร็ว ตั้งแต่ 16 เฟรมต่อวินาที ขึ้นไป เราจะเห็นเหมือนว่าภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องจาก การเห็นภาพติดตาในทาง คอมพิวเตอร์ การจัดเก็บภาพแบบอนิเมชันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต ได้แก่เก็บในรูปแบบ GIF MNG SVG และ แฟลช
คำว่า แอนิเมชั่น (animation) รวมทั้งคำว่า animate และ animator มากจากรากศัพท์ละติน "animare" ซึ่งมี
ความมหมายว่าทำให้มีชีวิต ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจึงหมายถึงการสร้างสรรค์ลายเส้นและรูปทรงที่ไม่มีชีวิต ให้เคลื่อนไหวเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้
ประเภทของอนิเมชั่น มี 2 ประเภทคือ
1. 2D อนิเมชั่น
การสร้างตัวละคร 2มิติ จะสร้างตัวละครโดยวาดเป็นรูปๆแล้วต้องเอามาลงสีไล่ไปทีละภาพทั้งๆที่เป็นตัวเดียวกันก็ตาม แต่ใน 3มิติ นั้นเราสร้างตัวละครและพื้นผิวของตัวละครขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แล้วก็สามารถใช้ได้ทั้งหนังทุกเฟรม. แต่ว่า 2มิติ นั้นการเปลียนแปรงตัวละครไม่ว่าหน้าตาหรือรูปร่างจะง่ายกว่า 3มิติในด้าน รูปร่างไม่คงที่ เพราะว่า แค่วาดเปลี่ยน แต่ 3มิติต้อง ปั้นตัวละครใหม่ หรืออีกวิธีที่ง่ายขึ้นคือปรับเปรี่ยนพื้นผิวของตัวละคร ในทางกลับกัน ถ้าตัวละครที่มีรายระเอียดเยอะ 3มิติจะได้เปรียบกว่ามากเพราะทำพื้นผิวเพียงครั้งเดียว.การเคลื่อนใหว ในงาน 2 ดีนั้นเวลาจะทำก็ต้องวาดแล้วเอาภาพมาเรียงต่อกันเรื่อยๆ แต่ ในงาน 3ดี เราทำตัวละครแล้วเอามาเคลื่อนที่โดยแค่จัดเฟรมแรกแล้วเฟรมสุดท้ายที่เหลือ คอมจะจัดการสร้างเอง รวมไปถึงการเคลื่อนใหวของตัวละคร.
2. 3D อนิเมชั่น
มุมมอง งาน 3ดี นั้น พอเราจัดท่าตัวละครแล้วเร้ต้องสร้างกล้องขึ้นมาเพื่อหามุมมองของภาพหรือหนัง(เหมือนถ่ายกล้องจริงๆ) แต่ใน 2ดี นั้นเอาสร้างมุมมองตอนวาดเลย (คือทำในขั้นตอนเดียวกับการวาดเคลื่อนใหวนั่นแหละ) แต่ตรงนี้ต้องใช้ประสบการ์ณในการวาดเยอะพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะวาดเพี้ยนได้. ความสมจริง อันนี้ 3มิติ กินขาด เพราะการจัดแสงมุมมอง ยังไงมือวาดก็ยังไม่เท่าเทียมได้ งาน 3มิติ ถึงนำไปใช้ในวงการภาพยนต์ค่อนข้างมากกว่างาน 2มิติ.
2D vs 3D


วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)